ก่อนเล่นหุ้น มารู้จักวิธีการคำนวณดัชนี ดัชนีหุ้นจะใช้เพื่ออธิบายถึงผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นหรือเฉพาะบางส่วนและเพื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุน โดยทั่วไปดัชนีใช้ราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของราคาหุ้น NASDAQ, S&P 500 และ Dow Jones Industrial Average เป็นตัวอย่างของดัชนีหุ้น ในบทความนี้เราจะบอกคุณเกี่ยวกับดัชนีตลอดต่างๆ ตลอดจนวิธีสร้างรายได้จากดัชนีเหล่านั้น
ดัชนีคืออะไร
เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะติดตามทุกหลักทรัพย์ที่มีการเทรดกัน เราจึงเลือกตัวอย่างตลาดที่มีขนาดเล็กซึ่งเป็นตัวแทนของทั้งตลาดทั้งหมด ในทำนองเดียวกันกับการสำรวจความคิดเห็นที่ผู้สำรวจสุ่มตัวอย่างเพื่อวัดความเชื่อมั่นของประชากร กลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กนี้เรียกว่าดัชนีซึ่งเป็นตัวชี้วัดทางสถิติในการเปลี่ยนแปลงพอร์ตหุ้นที่เป็นส่วนหนึ่งของตลาดโดยรวม
นักลงทุนและผู้เข้าร่วมตลาดอื่นๆ ใช้ดัชนีเพื่อติดตามผลการดำเนินงานของตลาดหุ้น ตามหลักการณ์แล้ว การเปลี่ยนแปลงราคาของดัชนีหมายถึงสัดส่วนการเปลี่ยนแปลงของหุ้นที่รวมอยู่ในดัชนีอย่างถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ถ้าดัชนีเพิ่มขึ้น 1% นั่นหมายความว่าหุ้นต่างๆ ที่ก่อให้เกิดดัชนีนี้เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 1%
ลองดูวิธีการทำงานของดัชนีโดยใช้ตัวอย่างง่ายๆ:
สมมติว่าเราสร้างดัชนีเพื่อติดตามราคาแกลลอนนม
การบริโภคนมมีราคา 2.00 ดอลลาร์สหรัฐต่อแกลลอน
ค่าดัชนีเริ่มต้นคือ 1
เมื่อนมมีราคา $2.50 ดัชนีของเราจะเท่ากับ 1.25 ซึ่งแสดงถึงราคาที่เพิ่มขึ้น 25% ของราคานม
ถ้านมมีราคา $2.25 ดัชนีก็จะเป็น 1.15 การเปลี่ยนแปลงที่ .10 สะท้อนถึงการลดลงของราคานม 10%
หากคุณเป็นผู้จำหน่ายนม คุณอาจพบว่าดัชนีนมมีประโยชน์อย่างมาก ฉันจะใช้มันแทนที่จะไปร้านทุกวันเพื่อจดราคาของนมของคู่แข่งแต่ละรายและวาดค่าเฉลี่ย
ดัชนีหุ้นมีผู้ใช้คือ เทรดเดอร์ นักเศรษฐศาสตร์ และนักวิชาการ แต่ละคนจะใช้ข้อมูลในวิธีแตกต่างกันไป
ประวัติศาสตร์ของการกำเนิดดัชนี
ในปีพ. ศ. 2439 นายชาร์ลส์ ดาว (Charles Dow) กับเพื่อนนักข่าว นายเอ็ดเวิร์ด โจนส์ (Edward Jones) ก่อตั้ง บริษัทดาวโจนส์ (Dow Jones) & บริษัทสร้างดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average – DJIA) ซึ่งเป็นดัชนีตลาดหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก (ดัชนีที่เก่าแก่ที่สุดคือดัชนีดาวโจนส์ขนส่ง หรือ Dow Jones Transportation Index ซึ่งก็สร้างขึ้นโดยนายดาวเช่นกัน) ในตอนนั้น DJIA มีอุตสาหกรรมที่จดทะเบียน 12 แห่งรวมถึง General Electric ซึ่งเป็นองค์กรแรกเริ่มที่ยังคงอยู่ในดัชนีเท่านั้น ปัจจุบันนี้ดาวโจนส์เป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ติดตาม 30 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา และเป็นหนึ่งในดัชนีที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก
ฟังก์ชันแรกเริ่มของดัชนีต่างๆ คือการทำหน้าที่เป็นบารอมิเตอร์ของตลาดหุ้นซึ่งชี้วัดให้ผู้สังเกตการณ์เห็นความหิวกระหายของนักลงทุนหรือโอกาสในการขายหุ้นไอพีโออย่างเป็นรูปธรรม ดัชนีต่างๆ ก็ยังคงทำเช่นนี้อยู่จนถึงจุดๆ หนึ่ง
อย่างไรก็ตามในยุค 20 (ช่วงปี พ. ศ. 2463 – 2472) ดัชนีต่างๆ ได้พัฒนาขึ้นจากบารอมิเตอร์กลายมาเป็นเกณฑ์ซึ่งใช้ในการวัดประสิทธิภาพของตลาด ในยุค 60 (ช่วงปีพ. ศ. 2503 – 2512) ดัชนีต่างๆ ได้รับการออกแบบด้วย Capital Asset Pricing Model (CAPM) พร้อมกับการถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตลาด ดัชนีต่างๆ เริ่มถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายตลาดอ้างอิงซึ่งสามารถเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของผู้จัดการลงทุนได้
วิธีการคำนวณดัชนี
ก่อนยุคดิจิตอล การคำนวณราคาของดัชนีหุ้นต้องเป็นไปอย่างเรียบง่ายที่สุด DJIA เดิมถูกคำนวณโดยใช้ค่าเฉลี่ยแบบง่ายๆ นั่นคือ รวมราคาของ 12 บริษัทเข้าด้วยกันแล้วหารจำนวนดังกล่าวด้วย 12 การคำนวณเหล่านี้ทำให้ดัชนีไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการเป็นค่าเฉลี่ย แต่ก็ยังใช้ประโยชน์ได้
วันนี้ DJIA ใช้วิธีการอื่นที่เรียกว่าการถ่วงน้ำหนักตามราคาซึ่งส่วนประกอบต่างๆ จะถูกถ่วงน้ำหนักตามราคาของพวกมัน ดัชนีคำนวณโดยการรวมราคาปัจจุบันของหุ้น 30 หุ้นและหารด้วยสิ่งที่เรียกว่า Divisor Dow ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใช้ในการรักษาความต่อเนื่องในอดีตของดัชนี ตัวเลขนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องโดยการพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงในตลาด เช่น ส่วนของผู้ถือหุ้น การ spin-off และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของส่วนประกอบของดาวโจนส์ ตัวอย่างเช่นในปีพ. ศ. 2551 มูลค่าของ Divisor Dow เท่ากับ 0.125553 ทุกวันนี้อยู่ที่ 0.14602128057775
ดัชนีส่วนใหญ่ถ่วงหนักบริษัทตามมูลค่าตามราคาตลาดแทนราคา หากราคาตลาดของบริษัทอยู่ที่ 1,000,000 ดอลลาร์และมูลค่าของหุ้นทั้งหมดของดัชนีนี้คือ 100,000,000 ดอลลาร์ บริษัทจะมีมูลค่า 1% ของดัชนี ดัชนีมีการคำนวณอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ข้อมูลสะท้อนของตลาดที่ถูกต้องตลอดช่วงการเทรด